เช็ค
เช็ค คือ ตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งให้ธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน โดย เช็ค เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินสดครับ เราสามารถจำแนกคู่สัญญาออกได้ดังนี้
1. ผู้สั่งจ่ายเช็ค (Drawer) คือเจ้าของบัญชีกระแสรายวันที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ผู้เขียนสั่งจ่ายหรือออกเช็ค
2. ธนาคาร(Banker) คือธนาคารผู้รับฝากเงินประเภทกระแสรายวันที่ผู้สั่งจ่ายเช็คเปิดบัญชีไว้
3. ผู้รับเงิน(Payee) คือผู้มีสิทธิที่จะขึ้นเงินตามเช็คนั้นในฐานะผู้ทรง(Holder) ทั้งนี้ผู้ทรงอาจมีฐานะ
เป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามที่ปรากฎในเช็คนั้น หรืออาจเป็นผู้รับเงินในฐานะ ผู้รับสลักหลัง หรือใน
ฐานะผู้ถือได้
กฎหมายของไทยได้กำหนดให้เช็คที่ใช้ในการพาณิชย์มี
2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
เช็คระบุชื่อ เป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายเขียนขึ้นเพื่อสั่งธนาคารให้จ่ายเงินโดยระบุชื่อผู้รับเงิน
หรือให้ใช้ตาม คำสั่งของบุคคลนั้น หมายความว่า
เช็คฉบับดังกล่าวจะสามารถนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารได้โดยจะ จ่ายเงินให้กับผู้ที่มีชื่อรับเงินอยู่ในเช็คแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เช็คผู้ถือ
คือเช็คที่ผู้สั่งจ่ายเขียนออกให้โดยสั่งธนาคารให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือหรือจ่ายตามคำสั่งของผู้ถือ
และครอบคลุมถึงเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินแต่ก็มีคำว่า “ผู้ถือ” รวมอยู่ด้วย
พูดง่ายๆก็คือเช็คฉบับ ดังกล่าวจะไม่มีการลงชื่อสั่งจ่ายเอาไว้ใครก็ตามที่ถือเช็คดังกล่าวอยู่สามารถเอาไปขึ้นเงินที่ธนาคาร
ได้ทันที
นอกจากนี้สำหรับในประเทศไทยของเรายังมีการแบ่งเช็คลงไปในรายละเอียดปลีกย่อยที่ลึกขึ้นอีก
โดยมีการแบ่งเช็คออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท ตามรูปแบบการใช้งานทางธุรกรรมการเงิน
ได้แก่
1. เช็คเงินสด
หรือผู้ถือ (Cash or Bearer’s cheque) เป็นเช็คที่ผู้ถือสามารถนำไปขึ้นเงินกับทาง ธนาคารได้โดยทันที
แต่ถ้ายังไม่ประสงค์จะขึ้นเงิน ก็สามารถนำไปฝากเข้าบัญชีของตนเองได้
ถ้าจะมีการโอนเช็คไปให้แก่ผู้อื่นก็ไม่ต้องมีการเขียน สลักหลังแต่ประการใด
2. เช็คระบุชื่อผู้รับเงิน
(Order’s cheque) คือเช็คที่ผู้สั่งจ่ายระบุชื่อผู้รับเงินลงไปในเช็ค
ซึ่งผู้รับเงิน จะต้องนำเช็คไปเบิกเงินด้วยตนเองหรือถ้าจะโอนให้ผู้อื่นจะต้องทำการสลักหลังโดยเซ็นชื่อด้าน
หลังเช็คด้วย
3. เช็คของธนาคาร
(Cashier’s Cheque or Treasurer’s Cheque) ธนาคารจะออกเช็คชนิดนี้ให้แก่ ลูกค้าที่นำเงินสดมาซื้อเช็คกับทางธนาคาร
โดยในตัวเช็คจะมีลายเซ็นของพนักงานผู้มีอำนาจใน ธนาคารเซ็นรับรองกำกับไว้
จึงเป็นเช็คที่ใช้ภายในพื้นที่ท้องถิ่นของธนาคารนั้นๆ จะไปใช้ต่างพื้นที่ หรือซื้อดร๊าฟไม่ได้
4. เช็คที่ธนาคารรับ
(Certified Cheque) ธนาคารจะรับรองเช็คชนิดนี้ก็ต่อเมื่อผู้สั่งจ่ายมีเงินอยู่ใน
บัญชีเพียงพอ ซึ่งทางธนาคารจะประทับตราว่า “ใช้ได้”
พร้อมกับวันที่และลายเซ็นของพนักงานที่มี อำนาจรับผิดชอบจากทางธนาคารด้วย
5. เคาน์เตอร์เช็ค
(Counter Cheque) เป็นเช็คของธนาคารใช้ในกรณีที่เจ้าของบัญชีต้องการใช้เงิน
โดยกระทันหันแต่ลืมเอาสมุดบัญชีไป
ธนาคารก็จะออกเช็คชนิดพิเศษแบบนี้ให้เขียนสั่งจ่ายเงิน
โดยเช็คประเภทนี้จะใช้ได้เฉพาะภายในธนาคารเท่านั้นจะโอนสลักหลังให้แก่ผู้อื่นไม่ได้
6. เช็คสำหรับผู้เดินทาง
(Traveler’s Cheque) เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ไม่ต้องการที่จะพก
เงินสดติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมากๆ
ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องของความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นได้
โดยทางธนาคารจะเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้แลกซื้อเช็คชนิดได้ตามสาขาต่างๆ
7. ดร๊าฟธนาคาร
(Banks Draft) เป็นเช็คในอีกลักษณะหนึ่งที่ทางธนาคารจะมีคำสั่งไปยังธนาคาร
อีกแห่งหนึ่งหรืออีกสาขาหนึ่ง
ให้จ่ายเงินในจำนวนที่กำหนดไว้แก่บุคคลที่ถูกระบุชื่อไว้บนดร๊าฟ
โดยดร๊าฟของธนาคารจะมีไว้เพื่อส่งเงินไปต่างพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
จึงแตกต่างจาก Cashier’s Cheque อย่างสิ้นเชิง
รายละเอียดภายในเช็ค
1. มีคำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค
หมายถึง หลักฐานที่แสดงว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นเช็คของธนาคารจริงๆ
เช่น มีตัวหนังสือระบุว่าเป็นเช็คเลขที่
956351 เป็นต้น
2. คำสั่งซึ่งให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอนโดยไม่มีเงื่อนไขในการใช้เงิน
นั่นหมายถึงจำนวนเงินที่เขียน หรือพิมพ์เป็นทั้งตัวเลขและตัวหนังสือนั่นเอง
3. ชื่อหรือยี่ห้อของสำนักธนาคาร
4. ชื่อหรือบริษัทของผู้รับเงิน
5. ลายมือชื่อ
(ลายเซ็น) ของผู้สั่งจ่ายสถานที่ใช้เงิน
6. สถานที่ใช้เงิน
7. วัน เดือน
ปี และสถานที่ออกเช็ค
ซึ่งความสมบูรณ์ของเช็คตามที่กฎหมายระบุไว้ก็คือจะต้องมีการเขียนหรือพิมพ์กรอกใน
รายละเอียด ตั้งแต่ข้อที่ 1 - 5 ครบถูกต้องสมบูรณ์ทุกข้อห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นเช็ค
ใบดังกล่าวจะเสียและถือว่าเป็นโมฆะทางกฎหมายโดยทันที
ส่วนข้อที่ 6 นั้นสามารถเว้นว่างเอาไว้ได้
โดยกฎหมายจะให้ถือว่าเป็นเช็คออก ณ
ที่อยู่ (ภูมิลำเนา)
ของผู้สั่งจ่าย สำหรับข้อที่
7 วัน เดือน
ปี นั้นถ้าเว้นว่างเอาไว้ไม่ได้กรอกรายละเอียดก็ไม่เป็นอะไรและยังถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวยังมีผลทาง
กฎหมายอยู่ เพียงแต่จะยังไม่ได้รับเงินเท่านั้นเนื่องจากไม่ได้ระบุวันที่สำหรับการขึ้นเงินเอาไว้นั่นเอง
นอกจากนี้เช็คในแต่ละแบบยังมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
โดยจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ ผู้สั่งจ่าย
(ผู้เขียนเช็ค)
ต้องการให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับเช็คใบดังกล่าวเป็นการเฉพาะ
โดยลักษณะและคำศัพท์ของเช็คที่สำคัญๆ
ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรียนรู้มีดังนี้
1. เช็คขีดคร่อม
เป็นเช็คที่มีการขีดเส้นคู่ขนานไว้ที่มุมบนทางด้านซ้ายของเช็ค
ด้วยลักษณะที่มีการ ลากเส้นยาวขีดข้ามจากด้านหนึ่งไปสิ้นสุดที่อีกด้านหนึ่งของหัวมุมจึงทำให้ผู้คนทั่วไปเรียกติดปาก
กันว่า “เช็คขีดคร่อม”
นั่นเอง โดยเช็คลักษณะนี้นั้นอาจจะเป็นเช็คที่ระบุชื่อหรือจะเป็นเช็คผู้ถือก็ได้
ซึ่งเช็คขีดคร่อมมีด้วยกัน 2 แบบ
คือ
1) เช็คขีดคร่อมทั่วไป
เป็นเช็คที่มีเส้นคู่ขนานปรากฎที่หัวมุมด้านซ้ายแต่เพียงอย่างเดียว
โดยเช็คประเภทนี้ผู้รับเงินไม่สามารถนำเช็คไปเบิกเป็นเงินสดออกมาได้โดยทันทีเนื่องจากมีการขีด
คร่อมเอาไว้ ซึ่งจำนวนเงินตามยอดที่อยู่ในเช็คนั้นจะโอนเข้าบัญชีของธนาคารที่ผู้รับนำเอาเช็คไป
ขึ้นแทน พูดง่ายๆ
ก็คือผู้รับเอาเช็คไปยื่นให้ธนาคารและธนาคาร ก็จะไปเรียกเก็บจากผู้สั่งจ่ายอีกที
ในลักษณะเหมือนเป็นคนกลาง
2) เช็คขีดคร่อมเฉพาะ
หมายถึงเช็คที่มีการขีดคร่อมไว้ที่มุมบนด้านซ้ายมือเหมือนๆ
กันกับเช็คขีดคร่อมธรรมดาทุกประการ แต่จะแตกต่างกันตรงที่เช็คขีดคร่อมเฉพาะมีการเขียน
ตัวหนังสือระบุความต้องการเป็นการเฉพาะลงไปในช่องว่างระหว่างเส้นคู่ขนานด้วยนั่นเอง
โดยเช็คชนิดนี้จะมีการจ่ายเงินให้กับธนาคารที่ถูกระบุไว้ภายในเส้นคู่ขนานเท่านั้น
ผู้รับเงินจึงจำเป็น ที่จะต้องนำเอาเช็คไปขึ้นกับทางธนาคารที่กำหนดด้วย
2. เช็คสลักหลัง
เป็นรูปแบบของการโอนเช็คจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ
ก็คือการโอนกรรมสิทธิ์ของเช็คไปให้ผู้อื่นนั่นเอง
โดยเช็คสลักหลังมีด้วยกัน 2 ชนิด
คือ “เช็คสลัก หลังระบุชื่อ”
เป็นเช็คที่ผู้รับเงินตามที่เขียนระบุไว้ด้านหน้าของเช็คเซ็นชื่อตนเองที่ด้านหลังพร้อม
เขียนระบุลงไปเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนด้วยว่าต้องการโอนเช็คดังกล่าวไปให้กับใคร
“เช็คสลักหลังลอย”
คือเช็คที่ผู้รับเงินเซ็นชื่อที่เอาไว้ที่ด้านหลังเช็คแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ระบุ
ข้อความอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้ จึงทำให้เช็คฉบับนี้กลายเป็นเช็คผู้ถือ
(ในกรณีที่ด้านหน้าเช็คไม่ได้ มีการขีดคร่อม)
ไปโดยทันที ใครจะนำเอาเช็คฉบับนี้ไปขึ้นเงินก็ได้
3. เช็คลงวันที่ล่วงหน้า
เป็นเช็คที่ผู้ประกอบการในแวดวงธุรกิจนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการค้ำประกันสำหรับธุรกิจประเภทที่ต้องใช้ระบบการ
หมุนเวียนเงินได้เป็นอย่างดี ในลักษณะที่ว่ารับสินค้ามาขายก่อนแล้วเงินค่อยตามไปทีหลัง
โดยผู้จ่าย จะลงวันที่เอาไว้ล่วงหน้าซึ่งจะนานเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ผู้จ่ายจะเป็นผู้กำหนด
ซึ่งเช็คจะมีผลบังคับใช้ และเรียกเก็บเงินจากในบัญชีจริงก็ต่อเมื่อถึงวันที่กำหนดเอาไว้ภายในเช็คเท่านั้น
4. เช็คเคลียริ่ง
ผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในองค์ความรู้ส่วนนี้ให้มากเป็น
พิเศษ เนื่องจากค่อนข้างจะมีการสับสนกันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ๆ
จึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าเช็คเคลียริ่งนั้นเป็นกระบวนการที่ธนาคารต่างๆ
เรียกเก็บเช็ค
ระหว่างกัน ซึ่งในอดีตจะต้องใช้เวลาที่นานมากประมาณ
2 - 3 วัน แต่
ณ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาขึ้น มามาก
โดยการเคลียริ่งแต่ละครั้งนั้นจะกินเวลาไม่เกิน
24 ชั่วโมง ซึ่งเวลาอาจจะน้อยกว่านี้ก็เป็นได้
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารที่ผู้ประกอบการเลือกใช้บริการด้วย
5. เช็คคืน
เป็นลักษณะของเช็คที่ผู้ประกอบการเกลียดและกลัวมากที่สุด
เนื่องจากสภาพของเช็ค คืนจะเกิดขึ้นได้นั้นก็ด้วยสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ
เงินในบัญชีของผู้จ่ายมีไม่เพียงพอกับ จำนวนตัวเลขที่ปรากฎอยู่บนเช็คนั่นเอง
หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “เช็คเด้ง” ซึ่งผู้ประกอบ การ ที่โดนเช็คประเภทนี้สามารถไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดีได้
เนื่องจากกรณีของเช็คคืน ส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความจงใจในการกระทำผิด
การจ่ายเช็คในแวดวงธุรกิจที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั้น หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่
มูลค่าของตัวเลขที่ผู้ประกอบการกรอกลงไปในช่องว่างหรือตัวอักษรที่บรรจงเขียนในช่องของผู้รับแต่อย่างใดเลย แต่กลับเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือในตัวผู้สั่งจ่ายมากกว่า
ซึ่งต้องถือว่ามีค่ามากกว่า เงินตราหลายเท่าตัวนัก เพราะสุดท้ายแล้วเช็คที่มีอยู่ในมือของผู้ประกอบการอาจจะไม่มีประโยชน์
อะไรเลยก็เป็นได้ ตราบใดที่ผู้สั่งจ่ายไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้รับเช็คในท้ายที่สุด
ที่มา : http://www.thaifranchisecenter.com/document/show.php?docuID=381
จัดทำโดย น.ส. ธนัญญา กฐินทอง ห้อง 942 เลขที่ 15
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
เสนอ อ.ประพิศ ฝาคำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น